วิธีสังเกตความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอก

วิธีสังเกตความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอก
วิธีสังเกตความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอก

วิธีสังเกตความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอก: สัญญาณเตือน ภัยเงียบ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น 

การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเป็นศัลยกรรมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย ด้วยความปรารถนาที่จะมีรูปร่างที่สมส่วนและเพิ่มความมั่นใจในตนเอง อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการผ่าตัดใดๆ การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนก็มีความเสี่ยงและอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือความผิดปกติขึ้นได้ การสังเกตและเข้าใจสัญญาณเตือนเบื้องต้นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้ที่เข้ารับการผ่าตัด เพื่อให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และเข้ารับการรักษาได้อย่างทันท่วงที บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับวิธีสังเกตความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอก ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงแนวทางการดูแลตนเองหลังการผ่าตัด เพื่อให้ผู้ที่สนใจหรือเข้ารับการเสริมหน้าอกแล้วมีความรู้ความเข้าใจและสามารถดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม

ความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอก: สัญญาณเตือนที่ต้องใส่ใจ

ความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอกสามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่เกิดจากการผ่าตัดเอง คุณภาพของซิลิโคนที่ใช้ หรือการดูแลรักษาที่ไม่เหมาะสม สัญญาณเตือนที่ควรสังเกตและไม่ควรมองข้ามมีดังนี้:

1. การเปลี่ยนแปลงของรูปร่างและขนาดของหน้าอก:

  • การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว: หากหน้าอกมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือขนาดอย่างรวดเร็ว ผิดปกติจากเดิมที่เคยคงที่ อาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อน เช่น การรั่วไหลของซิลิโคน การเคลื่อนตัวของซิลิโคน หรือการสะสมของของเหลว
  • ความไม่สมมาตรที่ผิดปกติ: ความไม่สมมาตรของหน้าอกเป็นเรื่องปกติในระดับหนึ่ง แต่หากความแตกต่างของขนาดหรือรูปร่างมีความชัดเจนมากขึ้นอย่างผิดสังเกต อาจบ่งชี้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับซิลิโคนข้างใดข้างหนึ่ง
  • การแข็งตัวหรือเป็นก้อน: การคลำพบก้อนแข็งหรือบริเวณที่แข็งผิดปกติบริเวณหน้าอก อาจเป็นสัญญาณของการเกิดพังผืดหดรัด (Capsular Contracture) หรือการรั่วไหลของซิลิโคน
  • การยุบตัวหรือแฟบลง: หากหน้าอกข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างมีการยุบตัวหรือแฟบลงอย่างเห็นได้ชัด อาจเป็นสัญญาณของการรั่วไหลของซิลิโคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นซิลิโคนชนิดน้ำเกลือ

2. ความรู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก:

  • อาการปวดเรื้อรัง: อาการปวดที่ไม่หายไป หรือปวดมากขึ้นเรื่อยๆ บริเวณหน้าอก อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบ การติดเชื้อ หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
  • ความรู้สึกตึงหรือแน่น: ความรู้สึกตึงหรือแน่นบริเวณหน้าอกมากผิดปกติ อาจบ่งชี้ถึงการเกิดพังผืดหดรัด
  • อาการชาหรือรู้สึกไวเกินไป: การเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกบริเวณหัวนมหรือผิวหนังหน้าอก อาจเกิดจากการบาดเจ็บของเส้นประสาทระหว่างการผ่าตัด หรือภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
  • ความรู้สึกแสบร้อน: อาการแสบร้อนบริเวณหน้าอกอาจเป็นสัญญาณของการอักเสบหรือการติดเชื้อ

3. การเปลี่ยนแปลงของผิวหนังบริเวณหน้าอก:

  • รอยแดงหรือความร้อน: ผิวหนังบริเวณหน้าอกมีรอยแดง บวม หรือรู้สึกร้อนกว่าปกติ อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบหรือการติดเชื้อ
  • รอยช้ำที่ไม่หายไป: รอยช้ำหลังการผ่าตัดเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ารอยช้ำไม่จางหายไป หรือมีรอยช้ำใหม่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ อาจบ่งชี้ถึงปัญหาภายใน
  • การเปลี่ยนแปลงของสีผิว: ผิวหนังบริเวณหน้าอกมีสีที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น สีคล้ำขึ้น หรือมีรอยด่าง อาจเป็นผลมาจากภาวะแทรกซ้อนบางอย่าง
  • การเกิดผื่นหรือตุ่ม: การเกิดผื่นหรือตุ่มบริเวณหน้าอกอาจเป็นสัญญาณของการแพ้ หรือการติดเชื้อ
  • ผิวหนังย่นหรือเป็นคลื่น: หากผิวหนังบริเวณหน้าอกดูย่นหรือเป็นคลื่น อาจเป็นสัญญาณของการรั่วไหลของซิลิโคน หรือการเคลื่อนตัวของซิลิโคน

4. อาการผิดปกติอื่นๆ:

  • มีน้ำไหลออกจากหัวนม: หากมีของเหลวไหลออกจากหัวนมโดยไม่ได้อยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
  • ไข้: อาการไข้ร่วมกับอาการผิดปกติอื่นๆ บริเวณหน้าอก อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  • ต่อมน้ำเหลืองโต: หากต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้โตขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการอักเสบหรือการติดเชื้อ

ประเภทของความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอก:

เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น การทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของความผิดปกติจึงเป็นสิ่งสำคัญ:

1. พังผืดหดรัด (Capsular Contracture):

  • กลไก: ร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อพังผืด (Capsule) หุ้มรอบซิลิโคนที่ใส่เข้าไป ซึ่งเป็นกระบวนการปกติ แต่ในบางกรณี พังผืดนี้อาจหดรัดตัวมากเกินไป ทำให้หน้าอกแข็ง ผิดรูปทรง และอาจมีอาการปวด
  • ระดับความรุนแรง: แบ่งเป็น 4 ระดับ (Baker Scale) ตั้งแต่ระดับที่คลำพบพังผืดได้เล็กน้อยโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ไปจนถึงระดับที่หน้าอกแข็งมาก ผิดรูปทรง และมีอาการปวด
  • ปัจจัยเสี่ยง: การติดเชื้อหลังผ่าตัด เลือดคั่ง การฉายรังสีรักษาบริเวณหน้าอก และปัจจัยส่วนบุคคลบางอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยง

2. การรั่วไหลของซิลิโคน (Silicone Implant Rupture):

  • ซิลิโคนเจล: การรั่วไหลของซิลิโคนเจลอาจเกิดขึ้นภายในพังผืด (Intracapsular Rupture) หรือภายนอกพังผืด (Extracapsular Rupture)
    • Intracapsular Rupture (การรั่วไหลภายในพังผืด): ซิลิโคนยังคงอยู่ภายในพังผืด อาจไม่มีอาการแสดง หรืออาจคลำพบก้อนแข็งหรือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเล็กน้อย การตรวจ MRI มักจำเป็นสำหรับการวินิจฉัย
    • Extracapsular Rupture (การรั่วไหลภายนอกพังผืด): ซิลิโคนรั่วไหลออกนอกพังผืด อาจทำให้เกิดการอักเสบ ต่อมน้ำเหลืองโต หรือคลำพบก้อนซิลิโคนใต้ผิวหนัง
  • ซิลิโคนน้ำเกลือ: การรั่วไหลของซิลิโคนน้ำเกลือจะทำให้หน้าอกยุบตัวลงอย่างรวดเร็ว แต่น้ำเกลือจะถูกร่างกายดูดซึมไปได้เองโดยทั่วไป

3. การติดเชื้อ (Infection):

  • สาเหตุ: การปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียระหว่างการผ่าตัด หรือหลังการผ่าตัด
  • อาการ: ปวด บวม แดง ร้อนบริเวณหน้าอก อาจมีหนองไหลออกจากแผล และมีไข้
  • ความรุนแรง: การติดเชื้ออาจรุนแรงและต้องได้รับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ หรืออาจต้องผ่าตัดนำซิลิโคนออกในกรณีที่รุนแรง

4. การเคลื่อนตัวของซิลิโคน (Implant Malposition):

  • สาเหตุ: การวางตำแหน่งซิลิโคนที่ไม่เหมาะสมระหว่างการผ่าตัด การเกิดพังผืดหดรัด หรือการบาดเจ็บ
  • ลักษณะ: ซิลิโคนอาจเลื่อนขึ้น เลื่อนลง หรือเลื่อนออกด้านข้าง ทำให้หน้าอกดูผิดรูปทรง
  • ผลกระทบ: อาจส่งผลต่อความสวยงาม และอาจต้องผ่าตัดแก้ไข

5. การเกิดเลือดคั่ง (Hematoma) และน้ำเหลืองคั่ง (Seroma):

  • เลือดคั่ง (Hematoma): การสะสมของเลือดบริเวณแผลผ่าตัด อาจทำให้เกิดอาการปวด บวม และรอยช้ำ
  • น้ำเหลืองคั่ง (Seroma): การสะสมของน้ำเหลืองบริเวณแผลผ่าตัด อาจทำให้เกิดอาการบวมและรู้สึกตึง
  • การรักษา: ส่วนใหญ่มักหายได้เอง แต่ในบางกรณีอาจต้องระบายออกโดยแพทย์

6. ภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้องกับวัสดุซิลิโคน:

  • Breast Implant-Associated Anaplastic Large Cell Lymphoma (BIA-ALCL): เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดหนึ่งที่พบได้น้อยมาก แต่มีความสัมพันธ์กับการเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนชนิดผิวหยาบ (Textured Implants) อาการที่พบบ่อยคือ อาการบวมของหน้าอกที่เกิดขึ้นใหม่ หรือมีของเหลวสะสมรอบซิลิโคน การวินิจฉัยต้องอาศัยการตรวจชิ้นเนื้อ
  • Breast Implant Illness (BII): เป็นกลุ่มอาการที่ยังไม่มีข้อสรุปทางการแพทย์ที่ชัดเจน แต่ผู้ป่วยบางรายที่เสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนรายงานอาการต่างๆ เช่น อ่อนเพลีย ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ปัญหาเกี่ยวกับความจำและสมาธิ ผื่น และอากาศอื่นๆ ซึ่งเชื่อว่าอาจมีความเกี่ยวข้องกับการตอบสนองของร่างกายต่อซิลิโคน
    วิธีสังเกตความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอก

ผลกระทบจากความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอก:

ความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอกไม่เพียงแต่ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกและความมั่นใจในตนเองเท่านั้น แต่ยังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดได้ดังนี้:

1. ผลกระทบทางร่างกาย:

  • อาการปวดเรื้อรัง: ความผิดปกติบางอย่าง เช่น พังผืดหดรัด หรือการอักเสบ อาจทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรังที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
  • การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา: การรั่วไหลของซิลิโคน การติดเชื้อ หรือ BIA-ALCL อาจส่งผลต่อระบบต่างๆ ในร่างกาย
  • ความจำเป็นในการผ่าตัดแก้ไข: ความผิดปกติส่วนใหญ่มักต้องได้รับการแก้ไขด้วยการผ่าตัดเพิ่มเติม ซึ่งหมายถึงค่าใช้จ่าย ความเสี่ยง และระยะเวลาพักฟื้นที่เพิ่มขึ้น
  • ความไม่สบายตัวและข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน: อาการบวม ตึง หรือการเคลื่อนไหวที่จำกัดอาจส่งผลต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

2. ผลกระทบทางจิตใจ:

  • ความวิตกกังวลและความเครียด: การเผชิญกับความผิดปกติและกระบวนการรักษาที่อาจยาวนานอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลและความเครียด
  • ความผิดหวังและความไม่พอใจในรูปลักษณ์: หากความผิดปกติส่งผลต่อรูปร่างของหน้าอก อาจทำให้เกิดความไม่พอใจและสูญเสียความมั่นใจในตนเอง
  • ภาวะซึมเศร้า: ในบางกรณี ความผิดปกติและผลกระทบที่ตามมาอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า
  • ความรู้สึกไม่มั่นคงและความกลัว: ความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยของซิลิโคนอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคงและหวาดกลัว

การดูแลตนเองหลังการเสริมหน้าอกเพื่อลดความเสี่ยงของความผิดปกติ:

การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมหลังการผ่าตัดเสริมหน้าอกเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงของการเกิดภาวะแทรกซ้อนและความผิดปกติ:

  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด: ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานยา การดูแลแผล การใส่ผ้ารัดหน้าอก หรือการจำกัดกิจกรรมต่างๆ
  • สังเกตอาการผิดปกติอย่างสม่ำเสมอ: เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง ขนาด ความรู้สึก และผิวหนังบริเวณหน้าอก หากพบความผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์
  • เข้ารับการตรวจติดตามตามนัดหมาย: การตรวจติดตามเป็นประจำจะช่วยให้แพทย์สามารถประเมินผลการผ่าตัดและตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
  • หลีกเลี่ยงการกระทบกระแทกบริเวณหน้าอก: การกระทบกระแทกอาจทำให้ซิลิโคนเสียหายหรือเคลื่อนตัวได้
  • สวมใส่ชุดชั้นในที่เหมาะสม: ชุดชั้นในที่กระชับและรองรับทรวงอกได้ดีจะช่วยลดความเสี่ยงของการเคลื่อนตัวของซิลิโคน
  • ดูแลสุขภาพโดยรวมให้แข็งแรง: การมีสุขภาพที่ดีจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีและลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ
  • ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับซิลิโคนที่ใช้: ทำความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดของซิลิโคน รุ่นที่ใช้ และข้อควรระวังต่างๆ
  • เข้าร่วมกลุ่มสนับสนุน: การพูดคุยกับผู้ที่เคยมีประสบการณ์เดียวกันอาจช่วยให้ได้รับข้อมูลและกำลังใจ

การวินิจฉัยและการรักษาความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอก:

หากสงสัยว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น แพทย์จะทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียด และอาจมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและประเมินความรุนแรง:

  • การตรวจร่างกาย: แพทย์จะทำการคลำหน้าอกเพื่อตรวจหาความแข็ง ก้อน หรือการเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง
  • การถ่ายภาพรังสี:
    • แมมโมแกรม (Mammogram): ใช้ในการตรวจหาความผิดปกติของเนื้อเยื่อเต้านม และอาจช่วยในการประเมินสภาพของซิลิโคนได้ในบางกรณี
    • อัลตราซาวด์ (Ultrasound): เป็นวิธีที่รวดเร็วและไม่รุกราน สามารถช่วยในการตรวจหาการรั่วไหลของซิลิโคน หรือการสะสมของของเหลวได้
    • MRI (Magnetic Resonance Imaging): เป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูงในการประเมินสภาพของซิลิโคน ทั้งภายในและภายนอกพังผืด และสามารถตรวจหา BIA-ALCL ได้
  • การเจาะดูดของเหลว (Needle Aspiration): ในกรณีที่มีของเหลวสะสม อาจมีการเจาะดูดเพื่อนำของเหลวไปตรวจวิเคราะห์
  • การตรวจชิ้นเนื้อ (Biopsy): หากสงสัย BIA-ALCL อาจต้องมีการตัดชิ้นเนื้อจากบริเวณที่ผิดปกติไปตรวจ

การรักษาความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอกจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของปัญหา โดยทั่วไปอาจมีแนวทางการรักษาดังนี้:

  • การรักษาแบบประคับประคอง: ในกรณีที่ไม่รุนแรง เช่น น้ำเหลืองคั่งขนาดเล็ก อาจหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา
  • การให้ยา: ในกรณีของการติดเชื้อ จะมีการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อรักษา
  • การระบายของเหลว: ในกรณีที่มีเลือดคั่งหรือน้ำเหลืองคั่งขนาดใหญ่ อาจต้องระบายออกโดยแพทย์
  • การผ่าตัดแก้ไข: ในกรณีของพังผืดหดรัด การรั่วไหลของซิลิโคน การเคลื่อนตัวของซิลิโคน หรือ BIA-ALCL อาจจำเป็นต้องผ่าตัดแก้ไข ซึ่งอาจรวมถึงการนำซิลิโคนเดิมออก การผ่าตัดพังผืด หรือการใส่ซิลิโคนใหม่

บทสรุป

การเสริมหน้าอกด้วยซิลิโคนเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญที่ควรมาพร้อมกับความเข้าใจในความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น การสังเกตความผิดปกติของซิลิโคนเสริมหน้าอกอย่างสม่ำเสมอและการดูแลตนเองอย่างเหมาะสมหลังการผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและตรวจพบปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ หากพบสัญญาณเตือนใดๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที การมีความรู้และความตระหนักจะช่วยให้ผู้ที่เสริมหน้าอกสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย
ช่องทางการติดต่อ Silimed Thailand
 1. เว็บไซต์: https://www.siliconesilimed.com/  * มีข้อมูลเกี่ยวกับซิลิโคน Silimed รุ่นต่างๆ

* มีรายชื่อตรวจสอบและคลินิกที่ใช้ซิลิโคน Silimed * สามารถใช้แบบฟอร์มเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้
2. Facebook: SILIMED.Thailand หรือ  https://www.siliconesilimed.com/ติดตามโปรโมชั่น ข่าวสาร กิจกรรมต่างๆ * สอบถามข้อมูลผ่านทาง Messenger
3. Line Official Account: @silimedthailand * แอดไลน์เพื่อสอบถามข้อมูล ปรึกษาฟรี
4. โทรศัพท์: 064 587 6954

#เสริมหน้าอก #ซิลิโคน #ความผิดปกติ #ภาวะแทรกซ้อน #พังผืดหดรัด #ซิลิโคนรั่ว #ติดเชื้อ #ซิลิโคนเคลื่อน #BIAALCL #BreastImplantIllness #สุขภาพผู้หญิง #ศัลยกรรมความงาม #ดูแลตัวเองหลังผ่าตัด #สัญญาณเตือน #ปรึกษาแพทย์

 

Author Profile

Admin
Admin